
5 โรคร้ายจากมลพิษทางแสง – ภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพคนกรุงทุกคืน
ก.ค. 3
1 min read
1
16
0
5 โรคร้ายจากมลพิษทางแสง – ภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพคนกรุงทุกคืน

เมื่อแสงไม่ได้ให้เพียงให้ความสว่าง แต่ยังอาจกลายเป็นภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพของคนและสัตว์ในระยะยาวได้อย่างคาดไม่ถึง
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เมืองท่องเที่ยวยามค่ำคืนในไทยอย่างกรุงเทพฯ ภูเก็ต และเชียงใหม่ เติบโตอย่างรวดเร็วตามการขยายตัวของกิจกรรมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวกลางคืน งานวิจัยของ Cui และคณะ (2025) ที่ใช้ข้อมูลภาพถ่าย ดาวเทียม (Nighttime Light: NTL) พบว่า ความเข้มข้นของกิจกรรมกลางคืนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2013–2023
แม้แสงไฟจะสร้างความคึกคักทางเศรษฐกิจและภาพลักษณ์เมือง (city branding) แต่ในอีกมุมหนึ่ง มลภาวะทางแสง (Light Pollution) ก็กำลังส่งผลกระทบต่อสุขภาวะของประชาชนและความสมดุลของระบบนิเวศในเมือง โดยเฉพาะแสงสว่างที่มากเกินไปในช่วงกลางคืน ซึ่งรบกวน นาฬิกาชีวิต (Circadian Rhythm) และส่งผลกระทบต่อวงจรหลับ–ตื่น ฮอร์โมน ภูมิคุ้มกัน รวมถึงความเสี่ยงโรคเรื้อรังต่างๆ

วันนี้ LAD ขอสรุป 5 โรคร้ายยอดนิยมจากมลพิษทางแสง
1. โรคนอนไม่หลับเรื้อรัง (Chronic Insomnia) : แสงสว่างที่เล็ดลอดเข้ามาในห้องนอนตอนกลางคืน อาจยับยั้งการหลั่งเมลาโทนิน ฮอร์โมนที่ควบคุมการนอน ส่งผลให้หลับยาก หลับไม่สนิท
2. โรคซึมเศร้าและภาวะวิตกกังวล (Depression & Anxiety) : การรบกวนวงจรหลับ-ตื่นมีผลต่อเซโรโทนิน ซึ่งควบคุมอารมณ์ ทำให้เสี่ยงต่อภาวะซ ึมเศร้า เด็กที่อยู่ในสภาพแวดล้อมสว่างตลอดคืนอาจมีพัฒนาการสมาธิและภูมิคุ้มกันลดลง
3. โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular Disease) : การนอนหลับไม่เพียงพออย่างต่อเนื่องเชื่อมโยงกับความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นผิดจังหวะ และโรคหัวใจ งานวิจัยพบว่าแสงในห้องนอนทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน (insulin resistance) ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงเบาหวานและโรคหัวใจ
4. โรคอ้วนและเบาหวานชนิดที่ 2 (Obesity & Type 2 Diabetes) : งานศึกษาพบว่าแสงสว่างจากภายนอกที่ส่องเข้าห้องนอนสัมพันธ์กับอัตราโรคอ้วน ความดันโลหิตสูง และเบาหวานในผู้สูงอายุ
Park และคณะ (2019) พบว่าผู้หญิงที่นอนพร้อมเปิดไฟหรือทีวี มีแนวโน้มเพิ่มน้ำหนักมากกว่าผู้ที่นอนในความมืดถึง 17%
Flinders University, Australia ชี้ว่าผู้ที่ได้รับแสงจ้ามากช่วงกลางคืนมีความเสี่ยงเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 สูงขึ้นตามระดับแสง
การศึกษาจากจีนพบว่าแสงกลางคืนสัมพันธ์กับภาวะน้ำตาลในเลือดผิดปกติและเพิ่มความเสี่ยงเบาหวานประมาณ 9 ล้านเคสในประเทศ
5. ความเสี่ยงต่อมะเร็ง (Breast & Prostate Cancer) : องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้จัดให้การทำงานในเวลากลางคืน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสัมผัสแสงกลางคืนมากเกินไป เป็น “สารก่อมะเร็งที่น่าจะก่อมะเร็งในมนุษย์” (Group 2A carcinogen) เนื่องจากแสงรบกวนการหลั่งเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทต้านการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง นอกจากนี้ งานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่าแสงกลางคืนเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมาก อย่างมีนัยยะสำคัญ
นอกจากนี้แสงยังรบกวนสัตว์และธรรมชาติ เช่น นก ค้างคาว แ มลง สัตว์น้ำ รวมถึงพืช ซึ่งอาจเสียการรับรู้ทิศทาง ทำลายพฤติกรรมผสมพันธุ์ หรือทำให้ระบบนิเวศของเมืองเสียสมดุล

ทั่วโลกกำลังขยับ — กทม. เตรียมออกข้อบัญญัติควบคุมค่าความสว่างของป้ายไฟ เพื่อแก้ปัญหาแสงรบกวน
เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2568 ผู ้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เสนอร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง การกำหนดค่าแสงสว่างที่ออกจากป้ายที่ใช้ระบบไฟฟ้าและมีแสงสว่างในตัวเอง ตามข้อ 17 ของกฎกระทรวงว่าด้วยการควบคุมป้ายหรือสิ่งที่สร้างขึ้นสำหรับติดตั้งป้าย ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528
สาระสำคัญของร่างข้อบัญญัตินี้ มุ่งกำหนดขีดจำกัดค่าความสว่างของป้ายไฟในเขตเมือง เพื่อป้องกันปัญหาแสงรบกวนและผลกระทบต่อการจราจร โดยกำหนดค่าความสว่างสูงสุดที่อนุญาตไว้ดังนี้:
ช่วงเวลา 07.00–18.59 น.: ความสว่างจากป้ายต้องไม่เกิน 5,000 แคนเดลาต่อตารางเมตร
ช่วงเวลา 19.00–06.59 น.: ความสว่างจากป้ายต้องไม่เกิน 500 แคนเดลาต่อตารางเมตร
กรณีที่ป้ายมีค่าความสว่างเกินกว่าที่กำหนด จะถือว่าเป็นการก่อความเดือดร้อนรำคาญต่อพื้นที่ข้างเคียง และอาจรบกวนทัศนวิสัยของผู้ขับขี่ยานพาหนะ ซึ่งอาจนำไปสู่ความ เสี่ยงด้านความปลอดภัยทางจราจร
ข้อบัญญัตินี้ให้อำนาจผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นผู้รักษาการตามบทบัญญัติดังกล่าว
ทั้งนี้ ที่ประชุมสภากรุงเทพมหานครได้มีมติเห็นชอบรับหลักการของร่างข้อบัญญัติดังกล่าว และตั้งคณะกรรมการวิสามัญเพื่อพิจารณาแปรญัตติภายใน 5 วัน พร้อมกำหนดระยะเวลาการพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน

แสงคือวัฒนธรรม คือสุขภาพ และคือคุณภาพของเมือง
เมืองที่ดีจึงไม่ใช ่เมืองที่แข่งกันสว่าง แต่คือเมืองที่เข้าใจ “ความพอดีของแสงและความมืด” ให้เวลากลางคืนได้ทำหน้าที่เยียวยาผู้คน และคืนสมดุลให้ธรรมชาติ
หมดยุคแล้วที่แสงจ้าจะเป็นเครื่องหมายของความเจริญ — ในความเป็นจริง แสงที่มากเกินไปกลับรบกวนระบบชีวภาพที่เชื่อมโยงโดยตรงกับสุขภาวะทั้งร่างกายและจิตใจ
เพราะฉะนั้น การออกแบบแสงของเมืองยุคใหม่ ต้องก้าวข้ามเพียงเรื่องความสวยงามหรือมูลค่าทางเศรษฐกิจ แต่ต้องคิดอย่างมีวิสัยทัศน์ เพื่อความปลอดภัย คุณภาพชีวิต และอนาคตของเมืองที่ “ใส่ใจแสง” อย่างแท้จริง
วันนี้นับเป็นจุดหมายสำคัญ
เมื่อผู้บริหารของเมืองเริ่มมองเห็นปัญหา และให้ความสำคัญกับแนวทางแก้ไขเรื่องแสงในเมือง
เราได้แต่หวังว่า จากนี้ ความร่วมมือของทุกฝ่าย จะร่วมกันสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับค่ำคืนของกรุงเทพฯ…ให้ดียิ่งกว่าที่เคย
#ผังเมือง #UrbanLighting #DarkSkyMovement #LightPollution #CircadianRhythm#กรุงเทพมหานคร #เมืองน่าอยู่ #SmartCity #SustainableLighting#เมืองที่คิดถึงคน
ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ
https://ieeexplore.ieee.org/stamp/stamp.jsp?arnumber=10856523
https://www.verywellhealth.com/how-bad-is-light-when-you-sleep-8745945?utm
https://time.com/5093052/working-night-shift-risk-cancer/?utm
https://jamanetwork.com/journals/jamainternalmedicine/fullarticle/2735446?utm
https://www.thelancet.com/journals/lanepe/article/PIIS2666-7762%2824%2900122-4/fulltext?utm
https://www.sciencedaily.com/releases/2022/11/221114190650.htm?utm
https://today.line.me/th/v3/article/DRLgvQw
https://letstalkscience.ca/educational-resources/stem-explained/light-pollution
https://www.pridestaff.com/blog/perks-of-working-on-the-night-shift/
https://pr-bangkok.com/?p=504621
https://www.dek-d.com/board/entertainment/3187251/
http://innews.news/news.php?n=79929







