top of page
Clip path group
Clip path group

เกาะติดวิกฤติน้ำท่วม 2568 เมื่อน้ำลด ตอจึงผุด : ภัยพิบัติที่น่ากลัวกว่าน้ำ อาจเป็น “ระบบ” ที่ล่มสลาย

6 วันที่แล้ว

ใช้เวลาอ่าน 2 นาที

1

6

0

ree

ในสถานการณ์ฉุกเฉินจากอุทกภัย เวลาคือทรัพยากรที่มีค่าสูงที่สุด การตัดสินใจที่แม่นยำจึงต้องอาศัย “ข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน และมองเห็นร่วมกันทั้งระบบ” มากกว่าเพียงสัญชาตญาณหรือความพยายามแบบกระจัดกระจาย

เมื่อระดับน้ำเริ่มลดลง เมืองได้เริ่มกลับมาหายใจอีกครั้ง นี่คือช่วงเวลาที่สำคัญไม่แพ้ยามอยู่ท่ามกลางวิกฤติ ช่วงเวลาแห่ง การเยียวยา ฟื้นฟู และวิเคราะห์ปัญหา เพื่อไม่ให้เมืองต้องเผชิญเรื่องเดิมซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า


ในตลอดสัปดาห์แห่งความโกลาหลที่ผ่านมา “ช่องว่างระหว่างปัญหา กับศักยภาพรัฐ” ปรากฏให้เห็นชัดเจนในทุกระดับของการจัดการ ภัยพิบัติครั้งนี้ไม่ได้รุนแรงเพียงเพราะปริมาณน้ำ แต่ยังยืนยันความล่มเหลวของการบริหารจัดการ สั่งการจากทางภาครัฐภาครัฐ ทั้งจากผู้บริหารส่วนกลาง ตลอดคนเจ้าบ้านผู้มีความรับผิดชอบต่อพื้นที่โดยตรงอย่างจังหวัดและเทศบาล ที่ควรเป็นแกนกลางในการกำหนดยุทธศาสตร์และการสั่งการ ซึ่งจำเป็นอย่างมากในการวางยุทธศาสตร์ และจัดลำดับความสำคัญในภาวะฉุกเฉิน ท่ามกลางความชะงักงัน ของระบบก แม้กองทัพและอาสาสมัครจำนวนมหาศาลจะลงมาช่วย แต่เมื่อข้อมูลร้องขอความช่วยเหลือไหลเข้ามาเป็น “ระลอกคลื่น” จากทุกช่องทาง ทั้งสายด่วน เพจ หน่วยกู้ภัย อาสาสมัคร และสื่อ ระบบที่ไม่มีโครงสร้างข้อมูลร่วมกันก็ย่อมสร้างความลำบากอย่างมากต่อการดำเนินการ


นี่คือความจริงที่น้ำท่วมครั้งนี้เปิดโปงอย่างเจ็บแสบภัยพิบัติครั้งนี้ไม่ได้ทำให้เราเห็นแค่น้ำแต่ทำให้เราเห็น “ระบบ” ที่อ่อนแรงเกินกว่าจะรับมือวิกฤตขนาดใหญ่ได้อีกต่อไป


ในบทความนี้ LAD ชี้ให้เห็นปัญหาเชิงระบบ พร้อมชวนผู้อ่านมอง “สามระยะของการทำงานต่อจากนี้” ตั้งแต่การอพยพ → การฟื้นฟูเยียวยา → การถอดบทเรียนเพื่อเปลี่ยนระบบ โดยสังเคราะห์ข้อเสนอและองค์ความรู้จากนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านภัยพิบัติ เครือข่ายภาคประชาสังคม และมูลนิธิต่างๆ มาร้อยเรียงใหม่อย่างเป็นระบบ เพื่อให้เข้าใจง่ายและมองเห็นภาพรวมของการจัดการอุทกภัยอย่างรอบด้าน


ree

ความซับซ้อนของการทำงานในภาวะวิกฤต ที่ต้องอาศัย "ระบบ"

วิกฤตน้ำท่วมครั้งนี้ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่า แม้ทุกภาคส่วน ภาครัฐ ทหาร อาสาสมัคร เอกชน และสื่อจะพยายามช่วยเหลือเต็มกำลัง แต่เมื่อไม่มี “ระบบร่วม” การทำงานทั้งหมดย่อมสะดุด ผลลัพธ์คือความช่วยเหลือที่ ล่าช้า ซ้ำซ้อน และไม่เท่าทันสถานการณ์จริง

1) ระบบข้อมูลชุดเดียวกัน: เมื่อทุกคนถือข้อมูลคนละชุด

การไม่มี ฐานข้อมูลกลาง คือรอยรั่วสำคัญที่สุดของการทำงานในช่วงที่ผ่านมา แต่ละกลุ่มมีข้อมูลของตัวเอง ทีมของตัวเอง เคสของตัวเอง และไม่มีแผนที่หรือฐานข้อมูลที่เชื่อมถึงกัน ทำให้การจัดลำดับความสำคัญแทบเป็นไปไม่ได้ และความช่วยเหลือลงพื้นที่แบบ “กระจัดกระจาย” มากกว่าแบบเป็นระบบ

2) ระบบประสานงานและการทำงานร่วมกัน: ต่างคนต่างทำ คนละทิศคนละทาง

อาสาสมัครหลายกลุ่มทำงานแบบโดดเดี่ยว ไม่รู้ว่าทีมอื่นกำลังทำอะไรอยู่หน่วยงานรัฐเองก็ประสบปัญหาภารกิจเฉพาะทางไม่ถูกแบ่งบทบาท และกลไกสั่งการไม่ทันต่อสถานการณ์จริง

ส่งผลให้มีบางพื้นที่ได้รับความช่วยเหลือซ้ำซ้อนขณะที่บางพื้นที่กลับ “หายไปจากเรดาร์” อย่างสิ้นเชิง

3) ระบบสื่อสารระหว่างวิกฤต: ข้อมูลไม่ไหล การสื่อสารไม่ชัด ประชาชนจึงต้องร้องขอซ้ำ

ในสถานการณ์จริง การสื่อสารคือเส้นเลือดของการช่วยชีวิตแต่ที่ผ่านมาเกิดปัญหาหลายด้านพร้อมกัน:

  • หน่วยงานไม่สามารถรายงานสถานการณ์ร่วมกันแบบ Real-time

  • ข้อมูลจากพื้นที่–ผู้เชี่ยวชาญ–หน่วยงานรัฐไม่ถูกสังเคราะห์เป็นภาพรวม

  • ประชาชน ไม่รู้จะขอความช่วยเหลือกับใคร หลายครอบครัวต้องโพสต์ขอช่วยหลายสิบ–หลายร้อยครั้งในหลายเพจ เกิดความซ้ำซ้อน สูญเสียเวลา และบางพื้นที่ “ตกหล่น” ไม่ถูกมองเห็นเลย


หน่วยงานที่ควรทำหน้าที่นำ กลับตามหลังสถานการณ์กระบวนการที่ควรจะราบรื่น กลับติดขัดแทบทุกจุดและการสั่งการที่ควรจะชัดเจน กลับกลายเป็นการแก้ปัญหาแบบวันต่อวัน รอให้เรื่องวิกฤต “ปะทุ” ก่อนจึงขยับตัว

เมื่อเห็นปัญหาชัดแล้ว เราจึงมองเห็นทิศทาง “ระยะของการทำงานต่อจากนี้” เมื่อน้ำเริ่มลด แต่ “การทำงานที่แท้จริง” เพิ่งเริ่มต้นนี่คือช่วงเวลาสำคัญที่ต้องวางระบบใหม่ให้รัดกุมกว่าเดิมเพื่อฟื้นฟูผู้คน และฟื้นฟูระบบไปพร้อมกัน


ree

ระยะที่ 1 : ดูแลผู้อพยพ – ช่วยผู้ติดค้างในบ้าน

ผู้อำนวยการมูลนิธิกระจกเงา อธิบายว่า การช่วยเหลือผู้ประสบภัยในระยะแรกสามารถมองออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่

1) ผู้อพยพในศูนย์พักพิง : ศูนย์พักพิง “ไม่ใช่จุดวิกฤติสุดขีด” เท่าพื้นที่น้ำลึก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะหากมองในเชิงระบบ ศูนย์พักพิงคือ “เมืองชั่วคราว” จึงต้องมีการบริหารจัดการ และเตรียมการ ดังนี้

  • การจัดการอาหาร น้ำดื่ม และโภชนาการ อย่างเพียงพอ

  • ระบบสุขอนามัย ห้องน้ำ–ระบบขยะ

  • พื้นที่นอน พื้นที่สำหรับเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยเรื้อรัง

  • การป้องกันโรคติดต่อในกลุ่มคนจำนวนมาก และการดูแลกลุ่มคนที่ร่างกายอ่อนล้าจากการแช่น้ำ


2) ผู้ที่ยังอยู่ในบ้าน : กลุ่มนี้สามารถแบ่งออกได้เป็นสองประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่

(1) ผู้ที่ “เลือกอยู่กับบ้าน”ยังพอพักอาศัยได้ แต่ต้องมีการสนับสนุนจากภายนอก ทั้งอาหาร น้ำดื่ม ยา และของจำเป็นพื้นฐาน เพื่อให้ดำรงชีพได้อย่างปลอดภัย

(2) ผู้ที่ “ควรต้องอพยพ”เช่น ครอบครัวที่มีผู้ป่วยติดเตียง หญิงตั้งครรภ์ เด็กเล็ก หรือบ้านที่อยู่ในระดับน้ำซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิต การเคลื่อนย้ายกลุ่มนี้ต้องทำอย่างเร่งด่วนและมีลำดับความสำคัญสูง


อย่างไรก็ตาม การช่วยเหลือผู้ที่ยังอยู่ในบ้านกลับเป็นงานที่ยากกว่าการดูแลศูนย์พักพิงหลายเท่าเพราะอุปสรรคใหญ่คือ ภูมิประเทศและเส้นทางที่ไม่เอื้อให้เข้าถึงพื้นที่ได้อย่างต่อเนื่อง

  • เรือเข้าได้เพียงบางช่วง พอเจอพื้นที่ดอนก็ไม่สามารถไปต่อ

  • รถเข้าไม่ได้ เพราะยังมี “คอขวดของน้ำ” และเส้นทางที่ถูกตัดขาด

  • หลายพื้นที่มีระดับน้ำที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ทำให้เส้นทางที่ปลอดภัยในตอนเช้า กลายเป็นเส้นที่ใช้ไม่ได้ในตอนบ่าย

ทั้งหมดนี้ทำให้การช่วยเหลือกลุ่มนี้กลายเป็นโจทย์ผสมระหว่างภูมิประเทศ และการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์การเข้าถึงผู้ประสบภัยจึงไม่ใช่เพียงเรื่อง “จำนวนเรือหรือรถ” แต่เป็นเรื่องของ โครงสร้างการจัดการพื้นที่ ทั้งระบบ ที่จะต้องอ่านเส้นทางน้ำ เห็นพื้นที่เสี่ยง และวางแผนลำเลียงให้แม่นยำที่สุด


ree

ระยะที่ 2 : ฟื้นฟูเยียวยา — จาก “กลับมาใช้การได้” สู่ “ดีกว่าเดิม”

หลังผ่านช่วงฉุกเฉิน การทำงานจะค่อยๆ ขยับจาก “เอาชีวิตรอด” ไปสู่ “ทำให้เมืองและผู้คนกลับมายืนได้อีกครั้ง” กรอบคิดสากลในการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติมักพูดถึงแนวคิด Build Back Better and Safer – ฟื้นฟูให้ “ดีกว่าและปลอดภัยกว่าเดิม” ไม่ใช่แค่ซ่อมให้เหมือนเดิมแล้วรอท่วมหรือพังอีกครั้งในบริบทน้ำท่วมภาคใต้ ระยะที่ 2 จึงควรครอบคลุมอย่างน้อย 3 มิติหลัก


1) ฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค
  • ไฟฟ้า–ประปา–ระบบสื่อสาร : พื้นที่จำนวนมากยังไม่มีไฟฟ้าใช้ แม้น้ำลดแล้ว ทำให้ทั้งการทำความสะอาดบ้าน การฟื้นฟูธุรกิจ และการเรียน–การทำงาน หยุดชะงัก

  • บ้านเรือนและอาคารสาธารณะ : ต้องมีคู่มือและระบบตรวจสอบความปลอดภัยของโครงสร้างที่แช่น้ำก่อนให้คนกลับเข้าอยู่

  • ถนน–สะพาน–ระบบระบายน้ำ : ฟื้นฟูไปพร้อมกับการออกแบบใหม่ให้รองรับน้ำในอนาคต ไม่ใช่แค่ซ่อมคืนสภาพเดิม

  • การจัดการขยะ : น้ำท่วมทิ้งมวลขยะจำนวนมหาศาล ทั้งขยะหนัก แหลม คม และปนเปื้อน ต้องมีระบบแยก จัดเก็บ เคลื่อนย้าย และกำจัดอย่างเป็นระบบ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาสุขาภิบาลและโรคระบาดตามมา

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเองก็เน้นให้การฟื้นฟูระยะกลางและระยะยาวเป็นการวางแผนเพื่อรับมือภัยในอนาคต ไม่ใช่เพียงการเยียวยาระยะสั้น


2) ฟื้นฟูเศรษฐกิจชุมชนและวิถีชีวิต : แผนฟื้นฟูเร่งด่วนเพื่อช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้ อาทิ

  • การชดเชยแก่ผู้เสียหาย ตลอดจน มาตรการช่วยเหลือด้านรายได้ ภาษี การพักหนี้ และการกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ประสบภัย ช่วยให้ธุรกิจท้องถิ่นกลับมาหายใจได้อีกครั้ง

  • การฟื้นฟูตลาด ท่องเที่ยว และบริการในเมืองหลักอย่างหาดใหญ่ ต้องมองทั้งระยะสั้น เช่น กิจกรรมดึงนักท่องเที่ยว และระยะยาว เช่น สร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยและการจัดการน้ำ


3) ฟื้นฟูจิตใจและความสัมพันธ์ทางสังคม

ประสบการณ์น้ำท่วมใหญ่ คือบาดแผลร่วมที่ทิ้งร่องรอยในใจคนทั้งเด็กและผู้ใหญ่

แนวทางจากกรมสุขภาพจิต และหน่วยงานด้านสุขภาพจิตหลายแห่งเสนอว่า หลังน้ำท่วมควรมีระบบดูแลจิตใจที่ชัดเจน อาทิ

  • เปิด “พื้นที่ปลอดภัย” ให้ผู้ประสบภัยได้เล่าประสบการณ์ ถอดอารมณ์ และเยียวยาร่วมกัน

  • ให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีภาวะเครียดและสูญเสีย

  • สนับสนุนกิจกรรมชุมชน กิจกรรมทางศาสนา และการช่วยเหลือกันเองในชุมชน เพื่อเยียวยาทั้งใจและความสัมพันธ์ทางสังคม

หากระยะฟื้นฟูนี้ถูกมองเป็นเพียงการแจกถุงยังชีพเวอร์ชันหลังน้ำลด หรือเพียงมาตรการเยียวยาด้วยเม็ดเงินเพียงอย่างเดียว เมืองก็จะพลาดโอกาสสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันทางสังคมและจิตใจสำหรับวิกฤติรอบต่อไป


ข้อมูลแผนที่จาก คุณอดิศักดิ์ กันทะเมืองลี้ เชื่อมข้อมูลเมืองสู่การจัดการในสถานการณ์ภัยพิบัติภาคใต้ 2568
ข้อมูลแผนที่จาก คุณอดิศักดิ์ กันทะเมืองลี้ เชื่อมข้อมูลเมืองสู่การจัดการในสถานการณ์ภัยพิบัติภาคใต้ 2568

ระยะที่ 3 : ถอดบทเรียน จากน้ำท่วมครั้งนี้ ไปสู่การออกแบบระบบใหม่

เมื่อเวลาผ่านไปพอสมควร เมืองจำเป็นต้องเข้าสู่ระยะที่ 3 คือ การถอดบทเรียนอย่างจริงจัง

สิ่งที่ควรเกิดขึ้นในระยะนี้ ได้แก่


1) เก็บ–เชื่อม–เปิดเผยข้อมูลอย่างเป็นระบบ

ดังที่ คุณอดิศักดิ์ กันทะเมืองลี้ เสนอไว้ การบริหารภัยพิบัติยุคใหม่ไม่สามารถอาศัยเพียง “แผนที่กระดาษ” หรือ “ความจำของเจ้าหน้าที่” ได้อีกต่อไป การจัดการน้ำท่วมต้องเริ่มจาก การรวมข้อมูลทะเบียนราษฎร์จากหลายแหล่ง ทั้งของกรมการปกครอง อปท. ข้อมูลผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ป่วยติดเตียง ไปจนถึงข้อมูลกลุ่มเปราะบางของ อสม. เข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ

แก่นสำคัญคือการพัฒนา ฐานข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Data) ที่แม่นยำในระดับแปลงที่ดิน–อาคารแต่ละหลัง เพื่อให้รู้ว่ามี “ใครอยู่ตรงไหน และต้องการอะไร” แบบเรียลไทม์ ควบคู่กับนั้น เมืองจำเป็นต้อง:

  • เก็บข้อมูลเคสการร้องขอความช่วยเหลือ, เวลาตอบสนอง, และ “คอขวด” ที่เกิดขึ้นในทุกขั้นตอน

  • เชื่อมฐานข้อมูลของรัฐ–อปท.–หน่วยกู้ภัย–อาสาสมัคร–แพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อสร้าง “ภาพรวมเดียวกัน” ในรอบต่อไป

  • เปิดเผยข้อมูลบางส่วนให้สาธารณะเข้าถึงได้ เพื่อสร้างความโปร่งใส และเปิดพื้นที่ให้ภาควิชาการ–ภาคประชาชนร่วมวิเคราะห์อย่างสร้างสรรค์

แนวทางนี้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลด้านการลดความเสี่ยงภัยพิบัติอย่าง Sendai Framework ที่ย้ำเสมอว่า การบริหารความเสี่ยงต้องตั้งอยู่บน ข้อมูลและความรู้ที่ทุกฝ่ายเข้าถึงได้ ไม่ใช่ปิดไว้ในแฟ้มของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง


2) เวทีร่วมถอดบทเรียน – ให้คนที่อยู่แนวหน้าได้พูด

  • เปิดเวทีให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น หน่วยกู้ภัย อาสาสมัคร แพทย์ พยาบาล ครู ผู้นำชุมชน และผู้ประสบภัยโดยตรง

  • ใช้กระบวนการแบบมีส่วนร่วม ไม่ใช่การสรุปบทเรียนจากบนลงล่าง

งานวิจัยและคู่มือด้านการมีส่วนร่วมในกระบวนการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติชี้ตรงกันว่า การให้ชุมชนมีเสียงและอำนาจต่อรองในขั้นตอนถอดบทเรียน จะช่วยให้การฟื้นฟูมีประสิทธิภาพมากขึ้น และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ตอบโจทย์จริงของพื้นที่


3) แปลงบทเรียนเป็น “กฎ–งบ–องค์กร”

บทเรียนที่ได้มา จะมีความหมายก็ต่อเมื่อถูก “แปลงสถานะจากข้อมูล เป็นแนวทางปฎิบัติ"

  • ปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบ และคู่มือการทำงาน

  • ออกแบบโครงสร้างหน่วยงานหรือกลไกใหม่ เช่น ฐานข้อมูลร่วม War Room ถาวร หรือศูนย์จัดการภัยระดับพื้นที่ที่มีส่วนร่วมจากภาคประชาชน

  • วางงบประมาณที่รองรับการเตรียมพร้อม ไม่ใช่งบส่วนใหญ่ไหลไปที่การกู้ภัยและเยียวยาเท่านั้น


ree

น้ำท่วมภาคใต้ 2568: วิกฤตที่เปิดโปงโครงสร้าง และเปิดโอกาสให้เราออกแบบใหม่ทั้งระบบ

อุทกภัยครั้งนี้ไม่ใช่เพียงเหตุการณ์ธรรมชาติที่สร้างความเสียหายเท่านั้น แต่คือ “ภาพสะท้อนเชิงระบบ” ที่เผยให้เห็นถึงความเปราะบางของการบริหารจัดการน้ำท่วมในประเทศไทยอย่างชัดเจน ตั้งแต่ระดับนโยบายจนถึงการปฏิบัติจริง


พร้อมกันนั้น เราก็ได้เห็นพลังของภาคประชาชน อาสาสมัคร และผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากที่ลุกขึ้นเติมเต็มช่องว่างของระบบอย่างเป็นรูปธรรม นี่จึงไม่ใช่เพียงวิกฤติธรรมชาติ แต่เป็น “บทเรียนทางระบบ” ที่กำลังเปิดให้เราได้เห็นชัดในแบบที่ไม่อาจมองข้ามได้อีกต่อไป


สำหรับ LAD การเกาะติดวิกฤตครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงการตามข่าวน้ำขึ้น–น้ำลงแต่คือการมองหาคำตอบร่วมกันว่า

เราจะทำอย่างไรให้ “ภัยพิบัติ” กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการออกแบบเมือง–ระบบ–สังคม ที่แข็งแรงกว่าเดิม ไม่ใช่เพียงแค่รอให้ทุกอย่าง “กลับไปเหมือนเดิม” ก่อนน้ำจะมาอีกครั้ง

ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ :

https://www.thaipbs.or.th/news/content/358940?utm

https://www.facebook.com/share/p/19vK3FWYGX/

https://backofficeminisite.disaster.go.th/upload/filecenter/96/files/63แผนการป้องกันฯ%20จ_ชัยนาท%2058%20%28บทที่7%29.pdf?utm

https://dmh.go.th/download/ebooks/takecarethreat1.pdf?utm

https://www.facebook.com/share/p/175nmRDKEy/

https://www.preventionweb.net/publication/documents-and-publications/guidelines-community-participation-disaster-recovery?utm

https://www.facebook.com/share/p/17WTEyEQt4/

https://www.youtube.com/watch?si=7ZSpoxGf9mkYlhcj&fbclid=IwY2xjawOXPbRleHRuA2FlbQIxMABicmlkETFkc2x3MFY0cVVjRmY5dXNJc3J0YwZhcHBfaWQQMjIyMDM5MTc4ODIwMDg5MgABHn7L41lQZqGTbHzuraqHbZSZl8D5CO5yE6H8nv1GusG9YQXpeOvKNJkvr64G_aem_6YNpZBVQD91owxM0PuN9OQ&v=GDYZ_QuT1ys&feature=youtu.be

https://www.komchadluek.net/news/general-news/610301

https://thestandard.co/hatyai-flood-recedes-cleaning/

https://theworldbizs.com/2024/11/30/24437/

https://www.thairath.co.th/news/local/2898265

https://www.facebook.com/share/p/1CmAsgft14/

6 วันที่แล้ว

ใช้เวลาอ่าน 2 นาที

1

6

0

โพสต์ที่คล้ายกัน

ความคิดเห็น

แชร์ความคิดเห็นของคุณเชิญแสดงความคิดเห็น คุณคือคนแรกที่แสดงความคิดเห็นที่นี่
bottom of page