
เกาะติดน้ำท่วมหาดใหญ่ล่าสุด (25 พ.ย. 68): วิกฤติที่เปิดโปงความล้มเหลวเชิงระบบของการรับมือภัยพิบัติไทย
พ.ย. 25
ใช้เวลาอ่าน 2 นาที
7
22
0

ภัยพิบัติอาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด แต่ ความล้มเหลวในการรับมือ — ไม่อาจเป็นข้ออ้างได้
เมื่อเช้า วันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 สถานการณ์วิกฤติน้ำท่วมหาดใหญ่ ยังทวีความรุนแรงต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริเวณ สะพานข้ามคลอง ร.1 บนถนนศรีภูตัดใหม่ ซึ่งภาพมุมสูงเผยให้เห็นว่าระดับน้ำได้เพิ่มสูงจน ใกล้ถึงท้องสะพาน ขณะที่กระแสน้ำยังคงเชี่ยวกรากและไหลด้วยความแรงมาก สะท้อนถึงปริมาณน้ำที่ยังคงหลากเข้าสู่พื้นที่อย่างต่อเนื่องและยากต่อการควบคุมในขณะนี้
เหตุการณ์น้ำท่วมในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่ ซึ่งยืดเยื้อเข้าสู่เกือบหนึ่งสัปดาห์ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนครั้งนี้ จัดเป็นหนึ่งในอุทกภัยที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายศตวรรษ ในช่วงเวลาเดียวกัน อุทกภัยยังเกิดขึ้นในอีก 9 จังหวัดภาคใต้ ส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คนจำนวนมาก แต่กรณีของหาดใหญ่กลับถูกจับตามองเป็นพิเศษ เนื่องจากเมืองมีบทบาทเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ การค้า การท่องเที่ยว และการคมนาคมของภาคใต้ตอนล่าง การหยุดชะงักของเมืองจึงส่งผลเป็นลูกโซ่ทั้งต่อประชาชนและระบบเศรษฐกิจภายในจังหวัด อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญกว่าความเสียหายในเชิงตัวเล ข คือ รูปแบบและสาเหตุของอุทกภัยครั้งนี้ ซึ่งแตกต่างจากอดีตอย่างมีนัยสำคัญ
บทความนี้ของ LAD จึงขอถอดรหัสปัจจัยสำคัญจากบทสัมภาษณ์จากบีบีซีไทย ของ ผศ.ดร.สมพร ช่วยอารีย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติในภาคใต้ ผศ.ดร.คานต์รวี วิชัยปะ ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการสาธารณภัย และ คุณศิรินันต์ สุวรรณโมลี นักวิจัยด้านการจัดการภัยพิบัติ รวมถึงบทความวิชาการที่วิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อให้เห็นภาพรวมว่าสถานการณ์ครั้งนี้สะท้อนอะไรต่ออนาคตของเมืองหาดใหญ่ และต่อระบบการเตือนภัยของไทยโดยรวม

น้ำท่วมครั้งนี้ไม่ได้มาจากพายุ แต่เกิดจาก “เรนบอมบ์” ที่แช่นานผิดปกติ
ผศ.ดร.คานต์รวี ให้ข้อมูลสำคัญว่าอุทกภัยครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากพายุหมุนเขตร้อนเหมือนในอดีต แต่เกิดจาก “หย่อมความกดอากาศมวลใหญ่” ที่หยุดนิ่งจนเกิดฝนแบบ “เรนบอมบ์” (rain bomb) ฝนลักษณะนี้มีความรุนแรงสูง ตกหนักต่อเนื่อง และกระจุกตัวในพื้นที่เดียวเป็นเวลานาน ทำให้ระบบระบายน้ำรองรับไม่ทันและทำให้เมืองเกิดน้ำท่วมฉับพลันในระดับที่ไม่เคยเจอมาก่อน นี่คือภาพที่สำคัญ เพราะชี้ว่าแบบจำลองภัยพิบัติเดิมของเมืองไม่สามารถอธิบายรูปแบบฝนครั้งนี้ได้อีกต่อไป
ความแตกต่างที่ทำให้สถานการณ์รุนแรงผิดปกติ
น้ำท่วมใหญ่ในปี 2543 และ 2553 เกิดจาก “น้ำหลาก” จากพื้นที่ต้นน้ำ ได้แก่ อำเภอสะเดาและคลองหอยโข่ง ซึ่งอยู่ทางทิศใต้และตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง มวลน้ำจากพื้นที่สูงไหลลงสู่ตัวเมืองตามลักษณะภูมิประเทศ ก่อนเข้าสู่เขตเทศบาลนครหาดใหญ่ หลังเหตุการณ์ปี 2543 ทางการได้ขุด คลองเบี่ยงน้ำ ร.1 เพื่อผันน้ำจากต้นน้ำออกสู่ทะเลสาบสงขลา และโครงสร้างนี้ช่วยลดความเสี่ยงน้ำจากต้นน้ำได้เป็นอย่างดีในหลายปีที่ผ่านมา แต่ปีนี้มีสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นชัดเจนคือ
แหล่งน้ำท่วมไม่ได้มาจากพื้นที่เดิม แต่เกิดจาก “ฝนตกหนักมากในเขตเมืองและเขาคอหงส์ทางทิศตะวันออก”
ผศ.ดร.สมพรชี้ว่า
ปีนี้ฝนในพื้นที่ต้นน้ำไม่ได้มากนัก
มวลน้ำจากสะเดาและคลองหอยโข่งไหลผ่านคลองระบาย ร.1 ได้ตามปกติ
แต่ฝนกลับตกหนักบริเวณเขาคอหงส์ ซึ่งลาดลงสู่ตัวเมืองโดยตรง
เมื่อผสานกับฝนที่ตกลงในเขตเมืองอย่างต่อเนื่อง ผลลัพธ์จึงเป็นปริมาณน้ำมหาศาลที่ระบายออกได้ยาก และไหลเข้าท่วมย่านเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว
สรุปคือ
นี่ไม่ใช่เหตุการณ์ “น้ำเหนือ” หรือ “น้ำป่า” แบ บเดิม แต่เป็น “ฝนตกใส่ตัวเมืองโดยตรง” ซึ่งระบบรับมือยังไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับสถานการณ์เช่นนี้

กายภาพของเมืองหาดใหญ่ทำให้มวลน้ำถูกล็อกและระบายไม่ได้
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ปริมาณฝนเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึง โครงสร้างกายภาพของเมือง ที่มีผลต่อการไหลของน้ำอย่างมาก
จากคำอธิบายของนักวิชาการ ลักษณะพื้นที่ของหาดใหญ่คล้ายกับ
“ถาดที่มีขอบ”โดยมีเขาคอหงส์เป็นพื้นที่สูงทางด้านทิศตะวันออก และลาดลงสู่พื้นที่เศรษฐกิจใจกลางเมือง
เมื่อฝนตกหนัก
น้ำจากภูเขาไหลลงสู่เมือง
น้ำในเมืองก็ตกลงมาในปริมาณมาก
เมืองมีอาคารสูงจำนวนมากที่กั้นทางน้ำ
น้ำจึงไหลไปตามถนนและถูกแบ่งเป็นลำรางหลายช่วง
พนังกั้นของคลองระบายน้ำทำให้น้ำไหลลงคลองได้ยากกว่าปกติ
ผลลัพธ์คือ
เกิดสภาพน้ำท่วมแบบเป็นล็อก ๆ ทั่วเมือง และถนนแปรสภาพเป็นเส้นทางน้ำ
ความเร็วและระดับน้ำแตกต่างกันตามความลาดชันของพื้นที่ ทำให้การคาดการณ์ การอพยพ และการเคลื่อนย้ายทรัพย์สินทำได้ยากยิ่งขึ้น

ระบบเตือนภัย: มีข้อความ แต่ไม่ทำให้เกิดการตอบสนอง
ตลอดช่วงวันที่ 20–22 พฤศจิกายน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ส่งข้อความเตือนภัยผ่านระบบ cell broadcast รวม 7 ครั้ง แต่คำถามสำคัญคือ
ทำไมการเตือนภัยจึงไม่ทำให้ประชาชนสามารถเตรียมอพยพได้ทัน?
คำอธิบายจาก ศิรินันต์ สุวรรณโมลี ช่วยให้เห็นภาพชัดเจนว่า ความท้าทายไม่ได้อยู่ที่ “การส่งข้อความ” แต่อยู่ที่ “การทำให้ประชาชนลุกขึ้นตัดสินใจ” โดยชี้ว่า ประชาชนจะตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉินได้ ต้องมีอย่างน้อย 3 องค์ประกอบ:
(1) ความสามารถของประชาชนในการตัดสินใจ
ข้อความเตือนภัยต้องมีรายละเอียดที่ช่วยให้คนวางแผนได้ เช่น
น้ำจะมาถึงเมื่อไร? (กรอบเวลา)
ต้องขนอะไรขึ้นที่สูง
เส้นทางไหนปลอดภัย
ต้องอพยพไปไหน
หากข้อความมาถึง “หลังน้ำมาแล้ว” ควรบอกว่ามีทางเลือกอะไรในการรับมือ
(2) กลไกการประสานงานและบัญชาการเหตุการณ์
ศิรินันต์ชี้ว่า แผนป้องกันภัยพิบัติในปัจจุบัน
มีแค่การระบุหน้าที่ของหน่วยงาน
แต่ไม่มี “ฉากทัศน์” หรือขั้นตอนปฏิบัติในแต่ละสถานการณ์
ทำให้ผู้ปฏิบัติงานตัดสินใจได้ยากในภาวะฉุกเฉิน
ซึ่งให้ภาพเปรียบเทียบว่า
แผนของเรามีแต่ “ตัวละคร” แต่ไม่มี “บทและซีน” ให้แสดงจริง
(3) ทรัพยากรและข้อมูลรองรับการอพยพ
หากประชาชนไม่รู้ว่า
มีศูนย์พักพิงที่ไหน
จะอพยพผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยติดเตียงอย่างไร
มีอาหาร น้ำดื่ม และข้อมูลใดรองรับ
ต่อให้มีข้อความเตือนกี่ครั้ง คนก็ไม่สามารถตัดสินใจได้
กล่าวอีกอย่างคือ
ระบบเตือนภัยจะได้ผลก็ต่อเมื่อประชาชน “รู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อ” ไม่ใช่เพียงรู้ว่ามีน้ำท่วม


