
กรุงเทพฯ น้ำท่วม ฝนถล่มฉ่ำ : ทางเลือกของเมือง ระหว่างอยู่กับน้ำ หรือ หนีน้ำ ?
พ.ย. 14
ใช้เวลาอ่าน 2 นาที
2
15
0

ฝนที่ถล่มกรุงเทพฯ ตลอดคืนวันที่ 13 พฤศจิกายน 2568 สร้างสถิติใหม่ของปี กับปริมาณน้ำฝนสูงสุดวัดได้ที่ 111 มิลลิเมตรในย่านปทุมวัน และทำให้พื้นที่ชั้นในกว่า 57 จุดจมอยู่ใต้น้ำชั่วคราว ตั้งแต่พระราม 4 พระราม 3 รัชดาภิเษก ไปจนถึงศาลาแดงและราชดำริ ถนนสายเศรษฐกิจต้องหยุดนิ่งเพราะรถติดยาวนับชั่วโมง

รุ่งเช้าวันต่อมา ผู้ว่าฯ ชัชชาติลงพื้นที่ตรวจสอบจุดน้ำท่วมในหลายเขตของกรุงเทพฯ พบปัญหาขยะอุดตันท่อระบายน้ำจำนวนมาก พร้อมสั่งการให้เจ้าหน้าที่เร่งเปิดทางน้ำโดยด่วน พร้อมยืน ยันว่า สาเหตุครั้งนี้ “ไม่เกี่ยวกับน้ำเหนือ” แต่เกิดจากฝนที่ตกหนักในระยะเวลาสั้นเกินขีดความสามารถของระบบระบายน้ำ ซึ่งกรุงเทพฯ ถูกออกแบบให้รองรับได้เพียง 60 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง — เกินกว่านั้น น้ำย่อมท่วมขังทันที
ในระยะสั้น กทม.เร่งดำเนิน มาตรการฉุกเฉิน ด้วยการระบายน้ำและเก็บขยะอุดตันในจุดเสี่ยง
ในระยะยาว กำลังเดินหน้า โครงการระบบระบายน้ำแนวถนนรัชดาภิเษก–คลองลาดพร้าว เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายน้ำในพื้นที่ชั้นใน คาดว่าจะแล้วเสร็จใ นปี 2569 ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำและลดปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากในเขตเศรษฐกิจใจกลางกรุง
แต่คำถามใหญ่กว่านั้นคือ — เมืองหลวงของเรากำลัง “อยู่กับน้ำ” หรือเพียง “หนีน้ำ” ไปปีต่อปี?

ผังเมืองกรุงเทพฯ กับโจทย์สากลของเมืองปากแม่น้ำ
“การวางผังเมือง การจัดการน้ำ และการใช้ประโยชน์จากน้ำอย่างสร้างสรรค์ เป็นโจทย์ที่ทุกเมืองทั่วโลกต้องเผชิญ” รศ.ดร.พนิต ภู่จินดา จากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จ ุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายกสมาคมนักผังเมืองไทย กล่าวไว้ชัดว่า "น้ำไม่ใช่ปัญหา แต่คือโอกาสในการออกแบบเมืองอย่างยั่งยืน"
กรุงเทพฯ คือเมืองปากแม่น้ำที่ต้องเผชิญกับ “สามน้ำ” ได้แก่
น้ำเหนือที่ไหลลงจากพื้นที่ตอนบน
น้ำฝนที่ตกในพื้นที่เมืองเอง
น้ำหน ุนจากอ่าวไทยที่ดันระดับน้ำขึ้นตามจังหวะน้ำขึ้นน้ำลง
ระบบจัดการน้ำของเมืองส่วนใหญ่ในโลกมักเริ่มจากการ “กันน้ำออกจากเมือง” เช่น “คันกั้นน้ำพระราชดำริ” ของไทย ที่ช่วยแยกน้ำเหนือออกจากพื้นที่ชั้นใน โดยเปิดทางให้น้ำไหลผ่านฟลัดเวย์ทางตะวันออก แต่ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อพื้นที่ที่ออกแบบให้เป็นทางน้ำกลับถูกพัฒนาเป็นหมู่บ้านจัดสรรและนิคมอุตสาหกรรมกว่าสี่ร้อยโครงการ เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 คือสัญญาณเตือนที่ชัดว่า เมื่อผังเมืองละเลยภูมินิเวศ เมืองก็จะกลายเป็นอ่างเก็บน้ำโดยไม่ตั้งใจ

เมืองที่เคยหันหน้าเข้าน้ำ แต่กลับกำลังหันหลังลงคลอง
ก่อนกรุงเทพฯ จะกลายเป็นมหานครแห่งถนนและตึกสูง เมืองนี้เคยเติบโตบนฐานของ สัญฐานเมืองเกษตรกรรม ที่ผสานกับระบบน้ำอย่างแนบแน่น คลองคือเส้นเลือดของชุมชน เป็นทั้งเส้นทางสัญจร แหล่งอาหาร และระบบระบายน้ำตามธรรมชาติ บ้านเรือนยกพื้นสูงเรียงรายริมฝั่งน้ำสะท้อนภูมิปัญญาที่เข้าใจจังหวะน้ำขึ้นน้ำลง ถนนสามเสนและจรัญสนิทวงศ์เคยทำหน้าที่เป็นแนวคันธรรมชาติ คอยปกป้องพื้นที่ลุ่มต่ำจากน้ำหลากในฤดูฝน
แต่เมื่อเมือ งเติบโต วิถีชีวิตกลับหันหลังให้กับน้ำ จาก “บ้านหันหน้าเข้าคลอง” กลายเป็น “บ้านหันหลังลงคลอง” พื้นที่รับน้ำถูกแทนที่ด้วยคอนกรีต ถนนและอาคารพาณิชย์เข้ามาแทนบ้านยกพื้น รถยนต์ต้องมีลานจอด และทุกหยดฝนที่ตกลงมาถูกบังคับให้ระบายผ่านท่อใต้ดิน — ระบบที่ไม่เคยถูกออกแบบให้รองรับเมืองขนาดนี้ได้

คำถามต่อมาที่กรุงเทพฯ ต้องตอบในวันนี้จึงไม่ใช่ “จะกันน้ำอย่างไร”แต่คือ “เราจะอยู่กับน้ำอย่างไร”
3 กรณีศึกษา เมื่อเมืองต้องเลือกว่าจะ “อยู่กับน้ำ” หรือ “หนีน้ำ”
เนเธอร์แลนด์: ตัวอย่างเมืองที่เข้าใจตัวเอง และอยู่กับน้ำอย่างเป็นระบบ
ไม่พูดถึงคงไม่ได้กับ เนเธอร์แลนด์ ประเทศที่ส่วนใหญ่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล แต่กลับเป็นตัวอย่างของเมืองที่ “อยู่กับน้ำ” อย่างเป็นระบบ ผ่านโครงการ Delta Works และแนวคิด Room for the River ที่เปลี่ยนจากการสร้างกำแพงกันน้ำสูงขึ้นเรื่อยๆ มาเป็นการ “คืนพื้นที่ให้น้ำ” ให้สามารถล้นเข้าบางโซนตามธรรม ชาติ แทนการต่อสู้กับมันตลอดเวลา เมืองรอตเทอร์ดัมยังออกแบบพื้นที่สาธารณะให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบชลศาสตร์อย่างเป็นรูปธรรม เช่น Water Square ที่เป็นลานกิจกรรมในฤดูแล้ง แต่สามารถกลายเป็นแอ่งรับน้ำฝนเมื่อฝนตกหนัก ทำให้พื้นที่สาธารณะและระบบจัดการน้ำผสานกันอย่างกลมกลืน

ในเชิงนโยบายและผังเมือง เนเธอร์แลนด์กำหนดโซนพื้นที่รับน้ำและพื้นที่อยู่อาศัยอย่างชัดเจน โดยพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมจะเป็นพื้นที่เปิดหรือฟลัดเวย์ ไม่อนุญาตให้สร้างบ้านเรือน หรืออุตสาหกรรมหนาแน่น อาคารใหม่ มีนวัตกรรมการออกแบบให้ยกพื้นสูง ยืดหยุ่นต่อการท่วม และไม่ขัดขวางเส้นทางน้ำ รวมถึงมีมาตรการสนับสนุนทางเศรษฐกิจ เช่น การให้เงินสนับสนุนหรือยกเว้นภาษีสำหรับการพัฒนาพื้นที่สีเขียวหรือพื้นที่รับน้ำ นอกจากนี้ยังมีการผสานธรรมชาติและโครงสร้างพื้นฐานเข้าด้วยกัน รวมถึงส่งเสริม multi-functional landscape ที่เป็นทั้งพื้นที่พักผ่อน ฟื้นฟูนิเวศ และรองรับน้ำอย่างยั่งยืน

สิงคโปร์: ตัวอย่างเมืองที่ประสานระบบจัดการน้ำ เข้ากับผังเมืองอย่างไร้รอยต่อ
ในขณะที่ สิงคโปร์ เคยเผชิญน้ำท่วมใหญ่บนถนนออชาร์ดในปี 2010 รัฐบาลเลือกเปลี่ยนทั้งเกาะให้กลายเป็น ระบบบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ ตั้งแต่การวางแผน ออกแบบ ดำเนินงาน ไปจนถึงการประสานกับภาคเอกชนและชุมชน ผ่านหน่วยงานหลัก Public Utilities Board (PUB) จนเกิดระบบ Four National Taps ที่ผสานน้ำฝน น้ำทะเลกลั่น น้ำรีไซเคิล และน้ำที่นำเข้าจากมาเลเซียไว้ในโครงข่ายเดียว

สิ่งที่โดดเด่นคือ สิงคโปร์ไม่ได้แยกน้ำออกจากเมือง แต่ใช้ โครงสร้างน้ำเป็นโครงสร้างเมือง ทั้งพื้นที่สวนสาธารณะขนาดเล็กและใหญ่ล้วนทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบจัดการน้ำ สร้างความไร้รอยต่อและแนบเนียนเข้ากับชีวิตเมืองอย่างสมบูรณ์ Marina Barrage จึงไม่ได้เป็นเพียงเขื่อนกั้นน้ำทะเล แต่ยังเป็นอ่างเก็บน้ำจืดและพื้นที่สาธารณะกลางเมืองอย่างแท้จริง แสดงให้เห็นว่า “การจัดการน้ำ” ไม่ได้อยู่ใต้เมือง แต่คือหัวใจของการออกแบบเมือง

จาการ์ตา: ตัวอย่างเมืองที่เลือกหนีน้ำแทนเรียนรู้จากน้ำ
ตรงกันข้ามกับสิงคโปร์และเนเธอร์แลนด์ จาการ์ตา เป็นภาพสะท้อนของเมืองที่การพัฒนาเติบโตเร็วกว่าความเข้าใจเรื่องน้ำ การสูบน้ำบาดาลอย่างต่อเนื่อง การขยายตัวของเมืองโดยไม่ควบคุม และการละเลยพื้นที่รับน้ำ ทำให้เมืองทรุดตัวลงกว่า 10 เซนติเมตรต่อปี ในบางเขต น้ำท่วมและการกัดเซาะชายฝั่งเป็นปัญหาเรื้อรัง

เมื่อระบบระบายน้ำและผังเมืองไม่สามารถรองรับความเสี่ยง รัฐบาลอินโดนีเซียจึงตัดสินใจย้ายเมืองหลวงไปยังนูซันตาราบนเกาะบอร์เนียว แม้จะช่วยลดความเสี่ยงในเมืองหลวงเก่า แต่ก็สะท้อนแนวทาง “หนีน้ำ” แทนที่จะเรียนรู้จากน้ำ — เมืองเก่ายังคงเผชิญปัญหาทรุดตัว การสูญเสียพื้นที่ชายฝั่ง และความเปราะบางทางสังคมที่เกิดจากความไม่เท่าเทียมของโครงสร้างพื้นฐาน
กรณีจาการ์ตาจึงตั้งคำถามสำคัญให้กับเมืองทั่วโลก: เราจะหนีน้ำไปอีกนานแค่ไหน และทำไมไม่เลือกที่จะเผชิญหน้าและจัดการกับน้ำอย่างเข้าใจ?

กรุงเทพฯ กับทางแยกของยุทธศาสตร์น้ำ
กรุงเทพฯ ในวันนี้ยืนอยู่บนทางแยกสำคัญ — จะยังคงมองน้ำเป็นศัตรู แล้วเร่งสร้างท่อ สูบน้ำ และคันดินอย่างไม่สิ้นสุด หรือจะเริ่มออกแบบเมืองให้ “อยู่กับน้ำ” อย่างเข้าใจและมีวิสัยทัศน์มากขึ้น
การอยู่กับน้ำไม่ใช่เรื่องวิศวกรรมเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของ ผังเมือง การบริหารจัดการเมือง และการประสานนโยบายข้ามภาคส่วน เมืองต้องฟื้นฟูพื้นที่รับน้ำ ใช ้ผังเมืองเป็นเครื่องมือกำหนดขอบเขตการพัฒนา และสร้างโครงสร้างที่สามารถรองรับน้ำได้อย่างยั่งยืน
เมืองที่อยู่กับน้ำได้ คือเมืองที่เข้าใจธรรมชาติของตัวเอง เนเธอร์แลนด์เลือกคืนพื้นที่ให้น้ำและผสานระบบชลศาสตร์กับผังเมือง สิงคโปร์เลือกเปลี่ยนโครงสร้างน้ำให้เป็นหัวใจของเมือง ด้วยระบบบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ จาการ์ตาเลือกหนีน้ำแทนการจัดการระยะยาว
ส่วนกรุงเทพฯ... ยังอยู่ในจุดที่ต้องตัดสินใจ ว่าจะเป็น เมืองที่เรียนรู้และเข้าใจน้ำอย่างมียุทธศาสตร์ หรือจะปล่อยให้ทุกฤดูฝนซ้ำรอยปัญหาน้ำท่วมเป็นบทเรียนราคาแพง คำถามคือ เราพร้อมจะปล่อยให้ “น้ำสอนซ้ำ” อีกหรือจะเริ่มสอนตัวเองให้เป็นเมืองที่ อยู่กับน้ำได้อย่างชาญฉลาด
ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ :
https://www.thairath.co.th/news/local/bangkok/2895246
https://thestandard.co/weather-forecast-bangkok-heavy-rain-warning/
https://www.salika.co/2020/10/17/stop-bangkok-from-drowning-city/
https://news.trueid.net/detail/j0jjX3Ao6Zg0
https://www.posttoday.com/real-estate/658202
https://www.scb.co.th/th/personal-banking/stories/home-car/city-planning-color-zones
https://www.pub.gov.sg/Public/Places-of-Interest/Our-Reservoirs-and-Waterways
https://www.holland.com/global/tourism/get-inspired/nl-in-7-stories/water-in-the-netherlands
https://www.haskoning.com/en/projects/room-for-the-river
https://spp.cmu.ac.th/jakarta-underwater-leave-your-home-or-fight-to-stay/
https://www.sansiri.com/content/view/homeguide-thailand-city-plan-and-color-zoning/th
https://www.facebook.com/share/1WC4C1RgRh/
https://tompepinsky.com/2025/06/06/building-a-new-capital-city-is-popular-paying-for-it-is-not/







