เตรียมพบ “Roof Park” สวนลอยฟ้าใจกลางกรุงเทพฯ ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ในปี 2568

ส.ค. 7

1 min read

ในอดีต การพัฒนา “พื้นที่สีเขียว” หรือ “สวนสาธารณะ” ขนาดใหญ่ มักถูกมองว่าเป็นหน้าที่ของภาครัฐในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน แต่กว่า 20 ปีที่ผ่านมา บทบาทของภาคเอกชนได้เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ จากผู้สังเกตการณ์และเฝ้ารอ และให้ความร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจากภาครัฐ มาสู่บทบาทของผู้สร้างแรงบันดาลใจ และลงมือสร้างสรรค์พื้นที่สีเขียวให้กับเมืองอย่างจริงจังและยั่งยืน

วันนี้ LAD ขอพาทุกคนไปรู้จักโครงการสุดตระการตาแห่งปี 2568 กับ “Roof Park” สวนลอยฟ้าใจกลางกรุงเทพฯ ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย พร้อมถอดรหัสแนวคิดเบื้องลึกจากนักลงทุนและภูมิสถาปนิกผู้อยู่เบื้องหลังการออกแบบสวนลอยฟ้าแห่งนี้ ที่จะเปิดให้เข้าใช้ในอีกไม่เกิน 1 เดือน

นับเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายใหม่ของเมืองที่ไม่ควรพลาด

“Roof Park” สวนลอยฟ้าขนาด 7 ไร่ (11,200 ตารางเมตร) แห่งใหม่ใจกลางแยกสีลม-พระราม4 ย่าน CBD (Central business district) ของกรุงเทพฯ ภายใต้โครงการมิกซ์ยูสระดับโลก Dusit Central Park โดย บริษัท วิมานสุริยา จำกัด พัฒนาโครงการภายใต้แนวคิด Here for Bangkok เชื่อมโยงธรรมชาติจากสวนลุมพินี และวิถีชีวิตของคนเมืองเข้าไว้ด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ

สวนลอยฟ้าแห่งนี้ถูกออกแบบให้ไล่ระดับตั้งแต่ชั้น 4 ถึงชั้น 7 กลายเป็น Hill Zone ที่สามารถชมวิวสวนลุมพินีได้แบบ Extending Park View ผู้ใช้งานจะได้สัมผัสความเขียวขจีผ่านพันธุ์ไม้หลากหลายระดับความสูง โดยไม่มีขอบเขตชัดเจนระหว่างธรรมชาติกับสถาปัตยกรรม พร้อมทั้งยังใช้ วัสดุธรรมชาติทดแทน เช่น ไม้ หิน กรวด และทรายขัดล้าง แทนคอนกรีต เพื่อให้เกิดความกลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมและสัมผัสที่อบอุ่น สร้างความรู้สึกเสมือนสวน Roof Park เป็นส่วนต่อขยายของสวนลุมพินี

แนวคิดหลัก: จากธรรมชาติสู่หัวใจเมือง

สวนลอยฟ้าถูกพัฒนาภายใต้แนวคิดสำคัญ 2 ประการ คือ

Biophilia หรือ "ความรักในธรรมชาติ" ที่เชื่อว่ามนุษย์มีสายใยดั้งเดิมกับธรรมชาติ การได้สัมผัสต้นไม้ แสงแดด ลม และสิ่งมีชีวิตรอบตัว ช่วยเยียวยาทางใจและเสริมพลังชีวิต
Ecosystem หรือ "ระบบนิเวศ" ที่เน้นการอยู่อย่างสมดุลร่วมกับสิ่งแวดล้อม โดยพื้นที่แห่งนี้จะผสมผสานพรรณไม้ น้ำ ดิน และอากาศเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน

การรวมสองแนวคิดนี้ทำให้สวนลอยฟ้าแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่พักผ่อน แต่เป็นระบบนิเวศเมืองที่ฟื้นฟูทั้งร่างกาย จิตใจ และชุมชน

แนวคิดการออกแบบเพื่อทุกคน และเพื่ออนาคต

Roof Park พัฒนาภายใต้แนวคิดการออกแบบเพื่อความยั่งยืนและครอบคลุมทุกกลุ่มคน โดยใช้หลักการสำคัญ 3 ด้าน:

Inclusive Design for Allออกแบบพื้นที่ใช้งานหลากหลายทั้งแบบ Active และ Passive รองรับทุกกลุ่มผู้ใช้งาน รวมถึงพื้นที่สำหรับสัตว์เลี้ยง เพื่อให้เป็นพื้นที่สีเขียวที่เปิดกว้างอย่างแท้จริง
Heritage & Legacyสืบทอดจิตวิญญาณของโรงแรมดุสิตธานีเดิมผ่านองค์ประกอบดีไซน์ เช่น น้ำตก เส้นสายหกเหลี่ยม ต้นลีลาวดี และบ่อปลา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำร่วมของคนไทย
Urban Sanctuary & Ecosystemสร้างระบบนิเวศเมืองที่ยั่งยืน คัดเลือกพรรณไม้พื้นถิ่น หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี ส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ และรักษาความสมดุลของสิ่งแวดล้อม

งานโครงสร้างเพื่ออนาคต: เบื้องหลังความยิ่งใหญ่ของสวนลอยฟ้า

เบื้องหลังความงดงามของ Roof Park ไม่ได้มีเพียงแค่งานออกแบบภูมิทัศน์ที่เชื่อมโยงธรรมชาติกับเมืองอย่างกลมกลืนเท่านั้น หากยังสะท้อนถึงความพิถีพิถันด้านวิศวกรรมโครงสร้าง ที่พัฒนาให้สอดคล้องกับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมระดับสากล LEED (Leadership in Energy and Environmental Design)

โครงการนี้ได้รับการออกแบบเชิงโครงสร้างในรูปแบบสามมิติ (3D Structural Design) อย่างครอบคลุมทุกโซน เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงกับอาคารหลักทั้ง 4 ส่วน ได้แก่ โรงแรม ที่พักอาศัย ศูนย์การค้า และอาคารสำนักงาน ซึ่งล้วนมีรูปแบบการใช้งานที่แตกต่างกัน โดยใช้ระบบ Joint System ที่วางแผนให้แต่ละองค์ประกอบสามารถประกอบต่อกันได้อย่างแม่นยำ เสริมความแข็งแรงและมั่นคงในทุกมิติ โดยโครงสร้างที่ซับซ้อนนี้ ถูกออกแบบมาให้รองรับน้ำหนักได้อย่างมั่นคง ทั้งในส่วนของต้นไม้ขนาดใหญ่ น้ำตก และกิจกรรมหลากหลายประเภท พร้อมทั้งมีระบบกันซึมที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้พื้นที่สวนลอยฟ้าแห่งนี้ไม่เพียงแต่สวยงามในเชิงทัศนียภาพ แต่ยังคงทน ปลอดภัย และใช้งานได้จริงในระยะยาว

Roof Park: ไม่ใช่แค่สวน แต่คือแรงบันดาลใจของการร่วมพัฒนาเมือง

Roof Park ไม่ใช่เพียงพื้นที่สีเขียวแห่งใหม่ในกรุงเทพฯ แต่เป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่สะท้อนถึงวิถีการพัฒนาเมืองในยุคใหม่ พื้นที่แห่งนี้เชื่อมโยงผู้คน ธรรมชาติ และชีวิตเมืองเข้าไว้ด้วยกันอย่างเป็นระบบ ตอกย้ำแนวคิดของโครงการในการ “มอบพื้นที่ให้ทุกคน” อย่างแท้จริง

สวนลอยฟ้าแห่งนี้กำลังจะเปิดต้อนรับทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเข้าใช้งานในไตรมาสที่ 3 ปี 2568

นับเป็นสัญญาณเชิงบวกของการพัฒนาเมืองยุคใหม่ ที่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงบทบาทของภาครัฐอีกต่อไป หากแต่เป็นความร่วมมือของภาคเอกชนที่ลุกขึ้นมามีบทบาทในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนเมืองอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม บทบาทของภาครัฐยังคงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในแง่ของการสนับสนุนและส่งเสริมผ่านมาตรการจูงใจ (incentives) เพื่อสร้างแรงกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาเมืองที่ยั่งยืนจากทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง