
สิงคโปร์: เมืองสู้น้ำที่ออกแบบได้ : บทเรียนสำคัญในวันที่ประเทศไทยเผชิญน้ำท่วมซ้ำซาก
พ.ย. 25
2 min read
0
1
0

ในช่วงเวลาที่ประเทศไทยเผชิญความเสี่ยงของน้ำท่วมแทบทุกปี ไม่ว่าจะเป็นน้ำเหนือไหลหลาก น้ำทะเลหนุน ฝนตกหนัก หรือระบบระบายน้ำที่ไม่อาจรองรับได้ทันการณ์ ปัญหาเดิมจึงย้อนกลับมาเล่นงานซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้ขณะนี้ทั้งเขื่อนภูมิพลและเขื่อนเจ้าพระยาได้ปรับลดการระบายน้ำลงต่อเนื่อง ส่งผลให้ระดับน้ำในลุ่มเจ้าพระยาเริ่มลดลง แต่สถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย เพราะในอีก 3 วันข้างหน้า น้ำทะเลจะหนุนสูงต่อเนื่องยาว 10 วัน ซึ่งจะยิ่งกระทบต่อการ ระบายน้ำในช่วงถัดไป
สิ่งที่ผู้คนต้องเผชิญจึงไม่ใช่เพียงน้ำที่เอ่อท่วมถนน หากแต่เป็นความหวาดระแวง ความไม่แน่นอน และภาระทางเศรษฐกิจที่ตามมา ธุรกิจจำนวนมากต้องชะลอตัว ผู้คนต้องเตรียมพร้อมหนีน้ำ หรือคาดเดาว่าปีนี้ระดับน้ำจะสูงเพียงใด ปัญหาเหล่านี้กำลังทำให้สังคมไทยวนกลับไปสู่ร่องเดิมอย่างน่าเป็นห่วง
จากบทความก่อนหน้า LAD ได้พาผู้อ่านไปรู้จักเมืองที่ “สู้กับน้ำ” ได้อย่างโดดเด่นหลายแห่ง หนึ่งในนั้นคือสิงคโปร์ เมืองขนาดเล็กที่สามารถพลิกตัวเองขึ้นมาเป็นต้นแบบด้านการจัดการน้ำระดับโลกอย่างน่าทึ่ง
วันนี้ LAD จะพาทุกท่นมาเจาะลึก ตั้งแต่วันที่สิงคโปร์เคยจมน้ำย่าน Orchard จนถึงวันที่สามารถเปลี่ยนน้ำให้เป็นส่วนหนึ่งของผังเมืองได้อย่างสวยงามและยั่งยืน พร้อมบทเรียนสำคัญที่ประเทศไทยควรศึกษาและประยุกต์ใช้

จุดเริ่มต้น: เมืองลุ่ มต่ำที่ต้องต่อสู้กับน้ำตั้งแต่วันแรก
แม้ทุกวันนี้สิงคโปร์จะถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่บริหารจัดการน้ำได้ดีที่สุดในโลก แต่หากย้อนกลับไปสู่ทศวรรษ 1970 เมืองนี้เคยมีพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมมากกว่า 3,200 เฮกตาร์ โดยเฉพาะในย่าน เช่น Katong, Geylang, Orchard และ Rochor ซึ่งเป็นพื้นที่กว้างใหญ่ระดับหลายเขตเปรียบเทียบกับกรุงเทพมหานคร สาเหตุสำคัญมาจากลักษณะภูมิประเทศที่เป็นเกาะลุ่มต่ำ มีฝนตกชุก และมีระบบระบายน้ำแบบเดิมที่ยังไม่ตอบโจทย์การพัฒนาเมืองที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
รัฐบาลสิงคโปร์จึงเริ่มทุ่มงบมหาศาลเพื่อวางระบบจัดการน้ำอย่างจริงจัง ทั้งการขยายคลอง ท่อ คูระบายน้ำ กักเก็บน้ำ ปรับภูมิทัศน์ และตั้งมาตรฐานด้านผังเมืองและน้ำ เพื่อรองรับฝนในปริมาณมาก จนสามารถลดพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากลงเหลือเพียงไม่ถึง 30 เฮกตาร์ภายในช่วงเวลา 40 ปี ถือเป็นความสำเร็จระดับโลก อย่างไรก็ตาม เมื่อสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงและฝนมีแนวโน้มตกหนักขึ้นกว่าเดิม ความสำเร็จในอดีตอาจไม่เพียงพอต่อความท้าทายใหม่ที่กำลังคืบคลานเข้ามา …

เหตุการณ์น้ำท่วม Orchard 2010–2011: สัญญาณเตือนที่เขย่าทั้งประเทศ
ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในเช้าวันที่ 16 มิถุนายน 2010 เมื่อฝนตกหนักอย่างฉับพลัน ทำให้ย่าน Orchard Road ศูนย์กลางเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และย่านการค้าระดับโลก ถูกน้ำท่วมในเวลาไม่กี่นาที รถเมล์ ร้านค้า และศูนย์การค้าหลายแห่งถูกน้ำเอ่อเข้าท่วมจนสร้างความเสียหายอย่างหนัก และเกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2011 ภาพน้ำท่วมใจกลางเมืองที่ควรเป็น “พื้นที่ที่มั่นคงที่สุด” ทำให้ทั้งประชาชนและสื่อมวลชนตั้งคำถามว่า ทำไมสิงคโปร์ที่ขึ้นชื่อว่ามีระบบน้ำทันสมัยถึงยังท่วมได้?
รัฐบาลไม่ปฏิเสธหรือกล่าวโทษเหตุการณ์ธรรมชาติ แต่ตั้งคณะผู้เชี่ยวชาญ (Expert Panel) เพื่อทบทวนระบบ drainage design ทั้งป ระเทศ พบว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ท่อเล็กหรือคลองรองรับน้ำไม่พอเพียงเท่านั้น แต่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเมืองและสภาพอากาศ เช่น พื้นผิวเมืองที่กันน้ำอย่างสมบูรณ์มากขึ้นจากการพัฒนาอาคาร ฝนตกหนักแบบสั้นแต่รุนแรง (intense short bursts) ที่เกิดจาก climate change และข้อจำกัดของคลอง Stamford ที่ไม่สามารถขยายได้มากกว่านี้เพราะถูกล้อมรอบด้วยอาคารและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ปัญหาครั้งนี้ทำให้สิงคโปร์ต้องยกเครื่องระบบน้ำทั้งชุด และเริ่มต้นคิดใหม่ตั้งแต่ระดับลุ่มน้ำขึ้นไป

การยกเครื่องระบบครั้งใหญ่: เมืองที่เรียนรู้และพัฒนาอย่างเป็นระบบ
หลังจากเผชิญวิกฤตน้ำท่วมหลายครั้ง สิงคโปร์เดินหน้าปฏิรูประบบจัดการน้ำทั้งประเทศแบบยกเครื่องใหญ่ หน่วยงานภาครัฐนำโดย PUB ดูแลระบบระบายน้ำขนาดใหญ่ของประเทศ ซึ่งครอบคลุมความยาวกว่า 8,000 กิโลเมตร ตั้งแต่คลอง คูน้ำ แม่น้ำ จนถึงช่องทางส่งน้ำลงอ่างเก็บน้ำและสู่ทะเล ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา สิงคโปร์ได้ลงทุนมหาศาลเพื่อปรับปรุงและขยายโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ให้ทันสมัยและรองรับปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม การขยายคลองหรือสร้างท่อระบายน้ำขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ทำได้เสมอไป ทั้งจากข้อจำกัดด้านพื้นที่และต้นทุนที่สูง PUB จึงใช้แนวคิด “Source–Pathway–Receptor” เพื่อบริหารจัดการน้ำท่วมอย่างครบวงจร
Source: จัดการน้ำตั้งแต่จุดที่น้ำตกลงมา เช่น การติดตั้งถังหน่วงน้ำ (detention tank) ในอาคาร
Pathway: ยกระดับระบบคลอง คู และท่อระบายน้ำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
Receptor: ปกป้องพื้นที่เสี่ยง เช่น การทำ flood barrier หรือกำหนดระดับยกระดับพื้นอาคารขั้นต่ำ (crest & platform level)

ด้วยวิธีคิดนี้ การบริหารน้ำท่วมจึงครอบคลุมทุกช่วงทางของน้ำ ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง จนถึงพื้นที่รับผลกระทบ และกระตุ้นให้เจ้าของอาคาร–ผู้พัฒนาโครงการ ต้องร่วมรับผิดชอบในการลดความเสี่ยงน้ำท่วมของพื้นที่ตนเองด้วย
PUB ออกแบบโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการเพื่อยกระดับการจัดการน้ำ โดยเฉพาะในพื้นที่ย่าน Orchard ได้แก่ Stamford Diversion Canal (SDC) คลองผันน้ำใต้ดินที่พาน้ำจากคลองStamford ไปยัง Marina Reservoir เพื่อผ่อนภาระของระบบเดิม และ Stamford Detention Tank (SDT) ถังเก็บน้ำใต้ดินขนาดมหึมาที่สร้างใต้สวนพฤกษศาสตร์ มีความจุกว่า 38,000 ลูกบาศก์เมตร เพื่อกักน้ำชั่วคราวในช่วงฝนตกหนัก ทั้งสองโครงการช่วยลดความเสี่ยงน้ำท่วมในย่าน Orchard อย่างมากในปัจจุบัน

อีกโครงการที่เป็นหมุดหมายสำคัญคือ Marina Barrage เขื่อนกั้นน้ำทะเลที่ทำหน้าที่เป็นทั้งอ่างเก็บน้ำ ปั๊มน้ำขนาดใหญ่ พื้นที่สาธารณะ และโครงสร้างป้องกันน้ำท่วมในเวลาเดียวกัน Marina Barrage เป็นตัวอย่างของโครงสร้าง “มัลติฟังก์ชัน” ที่รวมการควบคุมน้ำท่วม การผลิตน้ำจืด และการสร้างพื้นที่สาธารณะเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน

ขณะเดียวกัน โครงการ ABC Waters Programme ก็ช่วยเปลี่ยนบทบาทของคลองและคูในเมืองจากร่องระบายน้ำคอนกรีตธรรมดา ให้กลายเป็นพื้นที่สาธารณะเชิงภูมิทัศน์น้ำ เช่น Bishan–Ang Mo Kio Park ซึ่งเปลี่ยนคลองคอนกรีตเป็นแม่น้ำธรรมชาติ มี floodplain รองรับน้ำหลาก ทำให้การจัดการน้ำเชื่อมกับคุณภาพชีวิตเมืองได้อย่างแท้จริง

สิงคโปร์ทำได้เพราะ “ร่วมมือทั้งระบบ”
ความสำเร็จของสิงคโปร์ไม่ได้เกิดจากโครงสร้างพื้นฐานที่ดีเพียงอย่างเดียว หรือจากหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่เป็นผลลัพธ์ของการทำงานประสานกันทั้งระบบระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชนทุกภาคส่วน โดยมีหน่วยงานหลักอย่าง PUB ซึ่งเป็น National Water Agency ที่รับหน้าที่กำหนดมาตรฐานการออกแบบระบบระบายน้ำ บำบัดน้ำ และพัฒนาโครงสร้างขนาดใหญ่อย่าง Marina Barrage, Stamford Detention Tank และ Stamford Diversion Canal
ในขณะที่ URA หรือ Urban Redevelopment Authority ยังมีบทบาทสำคัญในการรวมแนวคิดเรื่องน้ำเข้าไปในผังเมืองผ่านการกำหนดเขตการใช้ที่ดิน การจำกัดการพัฒนาในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม และการกำหนดมาตรฐานที่โครงก ารในลุ่มน้ำต่างๆ ต้องมีมาตรการรองรับน้ำฝนตามระดับความเสี่ยง ขณะที่ NParks หรือ National Parks Board ก็ดูแลด้านการออกแบบภูมิทัศน์น้ำในสวนสาธารณะต่างๆ รวมถึงโครงการระดับตำนานอย่าง Bishan–Ang Mo Kio Park ซึ่งเป็นตัวอย่างความร่วมมือของวิศวกรรมและภูมิสถาปัตยกรรมอย่างโดดเด่น
อีกด้านหนึ่ง หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน เช่น Ministry of Sustainability and the Environment ก็ใช้กรอบนโยบาย climate resilience ในการกำหนดเป้าหมายและทิศทางของระบบน้ำทั้งประเทศ ทำให้สิงคโปร์สามารถมองน้ำแบบ “โครงข่ายเดียว” หรือ closing the water loop ตั้งแต่แหล่งน้ำดิบ น้ำประปา น้ำเสีย ไปจนถึงน้ำท่วมอย่างเป็นระบบ

ในส่วนของภาคเอกชน บทบาทไม่ได้จำกัดอยู่แค่การปฏิบัติตามข้อบังคับ แต่เป็นหุ้นส่วนสำคัญของระบบน้ำ โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่จำเป็นต้องออกแบบบ่อกักน้ำ ถังหน่วงน้ำ ระบบชะลอน้ำ และ flood gate ตั้งแต่ขั้นตอนแรกของการออกแบบอาคาร ขณะที่โครงการเอกชนจำนวนมากนำมาตรการ ABC Waters ไปใช้ เช่น rain garden, bioswale หรือบ่อน้ำธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดปริมาณน้ำหลากจริง และยังเพิ่มคุณภาพภูมิทัศน์ของเมืองไปพร้อมกัน
นอกจากนี้ สิงคโปร์ยังพัฒนาคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเทคโนโลยีน้ำ (water tech cluster) ที่เชื่อมโยงภาคเอกชน มหาวิทยาลัย และหน่วยงานรัฐ เพื่อร่วมกันพัฒนานวัตกรรม เช่น ระบบตรวจวัดน้ำอัจฉริยะ การกรองน้ำขั้นสูง หรือเทคโนโลยีลดความเสี่ยงน้ำท่วม ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้โครงสร้างน้ำของสิงคโปร์มีความยืดหยุ่นและทันสมัยอยู่เสมอ

บทเรียนสำคัญที่ประเทศไทยควรนำไปปรับใช้
เส้นทางของสิงคโปร์ในการจัดการน้ำท่วมให้บทเรียนสำคัญหลายประการที่สามารถประยุกต์ใช้ได้ในบริบทของประเทศไทย นั้นคือการ “ใช้วิกฤตเป็นตัวเร่ง” เพื่อยกระดับระบบทั้งประเทศ เหตุการณ์น้ำท่วมย่าน Orchard ไม่ได้จบลงด้วยการแก้ไขเฉพาะหน้า แต่กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ผลักดันให้สิงคโปร์ยกเครื่องระบบออกแบบและจัดการน้ำท่วมใหม่ทั้งระบบ แตกต่างจากหลายเมือง ท ี่มักแก้ปัญหาเฉพาะจุด ปล่อยให้เหตุการณ์เดิมเกิดซ้ำทุกปีโดยไม่เกิดการยกระดับเชิงโครงสร้างอย่างแท้จริง
บทเรียนแรก คือ การมอง “น้ำ” เป็นทั้งทรัพยากรและภูมิทัศน์ ไม่ใช่ของเสียที่ต้องเร่งระบายทิ้ง สิงคโปร์พิสูจน์ให้เห็นว่าคลอง เขื่อน และพื้นที่รับน้ำสามารถทำหน้าที่หลายอย่างพร้อมกัน ทั้งเป็นระบบป้องกันน้ำท่วม แหล่งน้ำดิบสำหรับผลิตน้ำดื่ม และพื้นที่สาธารณะคุณภาพสูงของเมือง เมืองที่ดีไม่ควรซ่อนคลองไว้ใต้ดินหรือทำให้เป็นพื้นที่ที่ประชาชนเข้าไม่ถึง แต่ควรออกแบบให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้คน
บทเรียนที่สอง คือ การบริหารจัดการน้ำต้องทำ “หลายระดับพร้อมกัน” ไม่ใช่แก้เฉพาะปลายทาง การแก้น้ำท่วมย่าน Orchard ไม่ได้เกิดจากการเพิ่มขนาดท่อใต้ถนนเพียงอย่างเดียว แต่เริ่มต้นตั้งแต่ระดับลุ่มน้ำ ผ่านการสร้างถังเก็บน้ำขนาดใหญ่ (detention tank) การออกแบบ floodplain ในสวนสาธารณะ และการบังคับให้โครงการเอกชนมีระบบหน่วงน้ำของตนเอง เมืองจึงต้องคิดตั้งแต่ต้นน้ำ (upstream) ไปจนถึงปลายน้ำ (downstream) แบบครบวงจร ไม่ใช่มุ่งแก้ปลายน้ำเพียงอย่างเดียว
บทเรียนที่สาม คือ ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และผู้พัฒน าโครงการ เพราะการจัดการน้ำเป็นระบบที่กระทบพื้นที่เมืองทั้งหมด ไม่มีหน่วยงานใดหรือองค์กรใดทำสำเร็จได้ลำพัง ตัวอย่างของสิงคโปร์ ที่ PUB, URA, NParks และหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมทำงานประสานกัน แสดงให้เห็นว่าความสำเร็จเกิดขึ้นจาก “ระบบเมืองที่ทำงานร่วมกัน” ไม่ใช่โครงการเดี่ยวใดโครงการหนึ่ง
ท้ายที่สุด สิงคโปร์ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับ “การสร้างความเข้าใจร่วมของประชาชน” ผ่านพื้นที่อย่าง Marina Barrage และกิจกรรม ABC Waters ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกเป็นเจ้าของแหล่งน้ำของตนเอง เมืองที่ประชาชนรู้บทบาท ของตัวเอง ว่าต้องช่วยป้องกัน ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของรัฐฝ่ายเดียว จะมีความยืดหยุ่นและทนทานต่อวิกฤตน้ำท่วมมากกว่าอย่างชัดเจน

สิงคโปร์พิสูจน์แล้ว ... ไทยหล่ะ !
สิงคโปร์ใช้เวลากว่าครึ่งศตวรรษออกแบบระบบน้ำอย่างจริงจัง ตั้งแต่การสร้างโครงสร้างพื้นฐานระดับประเทศ การผสานน้ำกับผังเมือง ไปจนถึงการทำให้คลองและอ่างเก็บน้ำกลายเป็นพื้นที่สาธารณะที่ผู้คนอยากใช้ชีวิตด้วย การร่วมมือของภาครัฐ เอกชน และประชาชนคือส่วนผสมที่ทำให้ระบบน้ำของสิงคโปร์มีความยืดหยุ่นสูงที่สุดระบบหนึ่งของโลก
สำหรับประเทศไทย ที่เผชิญทั้งน้ำท่วมและน้ำขาดในปีเดียวกัน บทเรียนจากสิงคโปร์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ใช่แค่เรื่องโครงสร้างขนาดใหญ่ แต่คือเรื่องการเปลี่ยนวิธีคิดจาก “หนีน้ำ” เป็น “อยู่กับน้ำ” อย่างมียุทธศาสตร์ เมืองที่ออกแบบได้ดี ย่อมสามารถลดความเสี่ยงจากน้ำท่วม และเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชนได้ในระยะยาว
อ่านบทความกรุงเทพฯ น้ำท่วม ฝนถล่มฉ่ำ: ทางเลือกของเมือง ระหว่างอยู่กับน้ำ หรือ หนีน้ำ ? :

