
ผังเมืองกรุงเทพฯ: เสริมภูมิคุ้มกันเมืองในยุคภัยพิบัติ
มิ.ย. 16
1 min read
0
6
0

เมื่อโลกเผชิญกับภัยพิบัติที่รุนแรงและถี่ขึ้น เมืองจึงต้องไม่ใช่แค่ผู้รับมือ แต่ต้องเตรียมพร้อมล่วงหน้า หนึ่งในเครื่องมือสำคัญคือ “พื้นที่สีเขียว” ซึ่งหลายประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร ใช้แนวคิด Green Belt ตั้งแต่อดีตเพื่อควบคุมการขยายเมืองและรักษาสมดุลคุณภาพชีวิตและระบบนิเวศ
กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่เปราะบางต่อภัยพิบัติ โดยเฉพาะน้ำท่วมซ้ำซากจากการพัฒนาเมืองที่ลดทอนพื้นที่ธรรมชาติ เขตชานเมืองที่เคยเป็นแนวกันน้ำกลับถูกใช้เพื่อโครงการจัดสรรและอุตสาหกรรม บ่อยครั้งเกิดการใช้ผังเมืองอย่างยืดหยุ่น หลีกเลี่ยงกฎหมายเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน โดยมองข้ามผลกระทบเชิงระบบ
3 กลไกทางกฎหมายที่ควรปกป้อง
พื้นที่ “สีเขียว” และ “สีขาวลายเส้นทแยงเขียว” บนผังเมือง
สีขาวลายเส้นทแยงเขียว (ก.1 – ก.3) เป็นพื้นที่ชนบทและเกษตรกรรม ใช้ประโยชน์ได้ไม่เกิน
5–10% ของพื้นที่รวม
สีเขียว (ก.4 – ก.5) คือพื้นที่เกษตรกรรมในเขตชนบทที่อนุญาตให้แบ่งแปลงได้บางกรณี
โดยห้ามใช้พื้นที่เกิน 10%
พื้นที่เหล่านี้ทำหน้าที่คล้าย Green Belt แต่กำลังถูกคุกคามจากการพัฒนา หากไม่ปกป้อง

กฎหมายจัดสรรที่ดิน: กลไกควบคุมการพัฒนาเมือง
กฎหมายจัดสรรที่ดินฯ ปี 2550 และฉบับแก้ไข กำหนดให้โครงการที่อยู่อาศัยต้อง
ออกแบบระบบระบายน้ำได้มาตรฐาน
กันพื้นที่สวน สนามเด็กเล่น ≥ 5%, ปลูกไม้ยืนต้น ≥ 25%, ขนาดพื้นที่แต่ละด้าน ≥ 10 ม.
มีลานกิจกรรม ≥ 200 ตร.วา สำหรับโครงการใหญ่ และเพิ่มตามสัดส่วน

มาตรการในเมืองชั้นใน: สมดุลระหว่างความหนาแน่นกับธรรมชาติ
ในพื้นที่เขตเมืองชั้นในที่มีความหนาแน่น ยังมีมาตรการควบคุมสำคัญ เช่น:
Open Space Ratio (OSR) การกำหนดอัตราส่วนพื้นที่ว่างต่อพื้นที่ดิน
FAR Bonus มาตรการจูงใจให้โครงการสร้างพื้นที่รับน้ำ เช่น ≥ 1 ลบ.ม. / 50 ตร.ม. เพื่อรับสิทธิ์เพิ่มพื้นที่ใช้สอย 5–20%

อนาคตของเมือง = การเลือกวันนี้
มาตรการเหล่านี้ไม่เพียงลดความเสี่ยงภัยพิบัติ แต่ยังยกระดับคุณภาพชีวิตของเมือง การออกแบบพื้นที่สีเขียวไม่ใช่เพียงหน้าที่ของภาคส่วนใดภาคส่วนหนึ่ง แต่คือความร่วมมือกันของทุกภาคส่วน ว่าเราอยากอยู่ในเมืองแบบไหน
แม้ว่าการเลี่ยงกฎหมายผังเมืองอาจดูเหมือนเป็นช่องทางสร้างผลตอบแทนที่รวดเร็วในเชิงการลงทุน แต่ในความเป็นจริง เมืองที่พัฒนาอย่างไร้ทิศทางและปราศจากภูมิคุ้มกัน กลับต้องแบกรับต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำท่วม การขาดแคลนพื้นที่สีเขียว หรือคุณภาพชีวิตที่เสื่อมถอย ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อทั้งผู้อยู่อาศัยและนักลงทุนเอง
การวางแผนเมืองให้สอดคล้องกับระบบนิเวศและกฎหมายจึงไม่ใช่ภาระ แต่คือการสร้าง “ความมั่นคงของมูลค่า” ในระยะยาว นักลงทุนควรเปลี่ยนมุมมองจากการหาผลประโยชน์สูงสุดเฉพาะตน มาเป็นการลงทุนเพื่อร่วมสร้างเมืองที่ยั่งยืน เพราะเมื่อภัยพิบัติมาถึง ไม่ว่าจะเป็นโครงการเล็กหรือใหญ่ ต่างก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบได้ การเคารพกฎหมายผังเมืองจึงไม่ใช่แค่หน้าที่ แต่คือการลงทุนในอนาคตที่มั่นคงของทุกฝ่าย
แล้วคุณล่ะ... คิดว่า “ผังเมือง” ที่เป็นเครื่องมือป้องกันภัยพิบัติ ควรเป็นอย่างไร?
#ภูมิคุ้มกันเมือง #พื้นที่สีเขียว#ผังเมืองกรุงเทพ #GreenBelt #UrbanResilience #ผังสีคือชีวิต #BangkokGreenUrbanPlan
ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ :
https://www.dol.go.th/samuthsakorn/DocLib6/สรุปย่อกฎหมายจัดสรร.pdf
https://blog.cheewid.com/knowledge/land-use-planning/
https://thaipropertymentor.com/archives/8041
https://landyestate.com/จัดสรรที่ดิน/
https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/การจัดสรรที่ดิน-55857